0

3 ปัจจัยที่ทำให้ลูกเป็นหวัด

2019-06-07 10:32:22

สวัสดีค่ะ วันนี้แอดมินอยากจะนำเสนอเรื่องปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นลูกน้อยให้เป็นหวัดค่ะ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ โรคหวัดทั่วไป กันก่อนนะคะ 

            หวัดคืออาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ก็คือส่วนที่อยู่เหนือเส้นเสียงในหลอดลมขึ้นมา จนถึงช่องคอและจมูก อาการคือ มีน้ำมูก คัดจมูก แสบจมูก จาม เจ็บคอ ระคายคอ ไอ คอแดง เสียงแหบ เสียงเปลี่ยน เป็นต้น ไล่ตามอวัยวะที่เกี่ยวข้อง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ ปวดหัว ปวดตัว เบื่ออาหาร ท้องเสีย หรือมีผื่น 

            โรคหวัดในเด็กนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีหลายสายพันธ์ เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของอาการหวัดนั้นมีกว่า 200 ชนิด ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Rhinovirus รองลงมาได้แก่ Corona virus, Adenovirus, Coxsackie virus เป็นต้น มีคนไข้บางส่วนอาจได้รับเชื้อจากแบคทีเรีย ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย 

โรคหวัดในเด็กนั้นอาจพบได้บ่อยถึงปีละ 6-8 ครั้ง เนื่องจากเด็กยังมีภูมิต้านทานที่ต่ำกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยอนุบาลมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่มาก หากเด็กๆ เป็นโรคภูมิแพ้ดวยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น 

            โรคหวัดเป็นโรคที่หายเองได้ โดยส่วนมากหวัดจะทุเลาไปเองภายใน 5-7 วัน โดยในช่วงแรกๆ หลังจากรับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการ และมีอาการมากสุดในวันที่ 2-3 เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปทางจมูก หรือระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เยื่อบุจมูกบวมแดง มีการหลั่งของเมือก ออกมาเป็นน้ำมูกใส แต่หากน้ำมูกระบายได้ไม่ดี มีการหมักหมมก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น หรือถึงขั้นเป็นสีเขียวได้ ทำให้หายใจลำบาก และหากไหลไปด้านหลังที่คอก็จะทำให้มีอาการไอ เจ็บคอได้ตามลำดับ 


ปัจจัยหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดหวัดมีดังนี้ 

1. เชื้อไวรัสมากมายภายนอกบ้าน 

เมื่อเด็กเริ่มโตจากวัยทารก คุณพ่อคุณแม่ก็มีโอกาสที่จะพาน้องออกนอกบ้านมากขึ้น เมื่อออกไปในที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียน ก็อาจจะสังเกตเห็นว่า น้องมีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้นกว่าอยู่ในบ้าน ส่วนหนึ่งอาจเกิดจาก การอยู่ร่วมกันของคนเป็นจำนวนมาก การเล่น หรือคลุกคลีกับผู้ป่วย การใช้สิ่งของร่วมกัน ซึ่งอาจเกิดการปนเปื้อนและแพร่กระจายเชื้อโรคติดต่อสู่กันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีความแออัด การระบายอากาศไม่ดี หรือในพื้นที่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ  หากเด็กเจ็บป่วยก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของเด็ก รวมทั้งการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก 



2. สภาพอากาศร้อนชื้น ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย 

สำหรับในประเทศไทยเป็นบริเวณร้อนชื้น จึงทำให้เชื้อโรคและแมลงที่เป็นพาหะนำโรคเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ง่าย ประเทศเขตร้อนจึงพบโรคติดต่อชนิดต่าง ๆ มากกว่าประเทศที่มีอากาศหนาว โดยโรคที่พบบ่อยในแถบเขตร้อน จะเรียกรวมว่า "โรคเขตร้อน" (Tropical Diseases) ซึ่งอาจเกิดจากเชื้อได้มากมายหลายชนิด นับตั้งแต่เชื้อไวรัสซึ่งมีขนาดเล็กมากลงไปจนถึงสัตว์เซลล์เดียว และหนอนพยาธิต่าง ๆ    โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ก็เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่มักจะเกิดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว หรือเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องทำให้หลายพื้นที่มีสภาพอากาศที่เย็นลงและมีความชื้นสูงขึ้น เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรคหลายชนิด นำไปสู่การเจ็บป่วยได้ง่ายและรวดเร็ว 

3. มลภาวะกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบบ่อย โดยมีอุบัติการณ์ร้อยละ 30-40 ทั่วโลก ซึ่งมีผู้ป่วยถึง 400 ล้านคนที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ อุบัติการณ์ของโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ในประเทศไทยพบว่า มีผู้ป่วยผู้ใหญ่ถึงร้อยละ 20 และมีผู้ป่วยเด็กถึงร้อยละ 40  ดังนั้นจะมีผู้ป่วย 10-15 ล้านคนในประเทศไทย (ข้อมูลปี 2557)  ที่ป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ นอกจากนั้นจากสถิติของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย พบ โรคภูมิแพ้ในเด็กไทยสูงถึง ร้อยละ 38  และพบในผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 20 ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลปี 59) 


อุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้นี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ที่มีมลพิษในอากาศเพิ่มขึ้น เชื่อว่าการที่มีปริมาณของมลพิษ และสารระคายเคืองในอากาศมากขึ้น  และประชากรสัมผัสกับสารดังกล่าวในอากาศมากขึ้น ทำให้พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น  เนื่องจากเยื่อบุจมูกของผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ มีความไวต่อการกระตุ้นมากผิดปกติ ทั้งสารก่อภูมิแพ้ และสารที่ไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้ มลพิษในอากาศไม่ว่าจะเป็น ฝุ่นละออง สารตะกั่ว ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และอื่นๆ  ล้วนส่งผลกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และโรคหืดมีอาการมากขึ้นได้    


ขอบคุณข้อมูลจาก 

 




































          อาการหวัดและอาการภูมิแพ้เหล่านี้สามารถป้องกันได้ โดยพ่อแม่ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงพาน้องไปในสถานที่ที่แออัด หรือที่ชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรครุนแรง หรือหาหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อไวรัสหรือมลพิษในอากาศอันเป็นสาเหตุกระตุ้นการเกิดอาการภูมิแพ้ นอกจากนั้นการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ก็เป็นวิธีที่ดีในการขจัดสิ่งแปลกปลอมในจมูก เพราะในจมูกของเรามีโครงสร้างลักษณะเป็นขนขนาดเล็กที่เรียกว่าซีเลีย (Cilia) อยู่ภายในจมูกและโพรงจมูก คอยพัดเอาน้ำมูกหรือสารคัดหลั่งไปที่หลังคอให้ถูกกลืนลงไปหรือไม่ก็พัดให้ออกไปจากจมูก การใช้น้ำเกลือช่วยล้างจะมีประโยชน์ในการช่วยกำจัดแบคทีเรีย ไวรัส และสารก่อความระคายเคืองทั้งหลายให้หลุดออกไปรวดเร็วยิ่งขึ้น และช่วยในกรณีที่ซีเลียไม่อาจทำหน้าที่ได้ตามปกติเนื่องจากเยื่อบุโพรงจมูกบวม นอกจากนี้ น้ำเกลือจะไปเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของโพรงจมูกให้มีอาการบวมน้อยลง และกลับมาหายใจได้เป็นปกติดังเดิม ทั้งยังช่วยชะล้างน้ำมูกให้น้อยลงอีกด้วย

นอกจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถใช้ Mama Tales Perfect Oil เอสเซนเชียลออย บรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้ลูกน้อยหายใจโล่งขึ้น นอนหลับสบายตลอดคืน 

  Perfect Oil
"หนึ่งเดียว" ที่มีสารสกัดบรรเทาหวัด
"ครบที่สุด""ดีที่สุด" ในขวดเดียว

#สารสกัดจากหอมแดง มีสรรพคุณมาอย่างยาวนานในการช่วยบรรเทาอาการหวัดและคัดจมูก
ทั้งยังช่วยทำให้ระบบการหายใจทำงานได้ดีขึ้น
#ใบเอโกมะ หรือ #ชิโซะ สมุนไพรชั้นเลิศของญี่ปุ่น ช่วยในการบรรเทาหวัด คัดจมูก และการแพ้อากาศ
#ชะพลู ช่วยทำให้หายใจได้โล่งสบายกว่าเดิม

แล้วคุณจะลืมวิธีเดิมๆ ไปได้เลย ลองแล้วจะติดใจ 


บริษัทกู๊ดจ๊อบ (ประเทศไทย) จำกัด 

19/17 หมู่ที่ 13 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี

จังหวัดสมุทรปราการ 10540


Tel.   085 201 0199
(เวลา 9:30 - 18:30 น. ยกเว้นวันเสาร์, วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)


Email: mamatales.official@gmail.com












COMPANY INFO

-   Home

-   About

-   Products

-   Shop

-   Blogs

-   Review 

-    FAQ

-   Contact us

Copyright ® 2019 mamatalesbaby.com